ซ่อนไว้ในจังหวะชีวิต ....คุณพ่ออนุชา ไชยเดช

อ๊ะ...จึ๋ย!

"พี่ไม่ดูของไปอีกล่ะ....จะได้ไม่ต้องทอน".... ชายหนุ่มหน้าสาว พฤติกรรมหญิง ผู้ทำหน้าที่ขายสินค้าให้คำแนะนำผม

ผมได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไร เพราะอารมณ์นี้ไม่อยากต่อปากต่อคำกับใคร ผมไม่รู้จะซื้ออะไรจึงตั้งหน้าตั้งตาเดินจากไป "พี่ไม่ซื้ออะไรจริงๆ เหรอ" ชายหนุ่มหน้าสาวยังไม่เลิกละความพยายาม
"ต้นไม้นี่ขายไหมล่ะ" ผมชี้ไปที่ต้นไม้ประดับร้าน ไม่มีความหมายแอบแฝงในใจ ประมาณว่าพูดเพื่อตัดรำคาญ  หนุ่มน้อยสวนขึ้นมาทันควัน "ถ้าพี่อยากได้ ก็ขายนะ"

เราจากกันมาด้วยรอยยิ้ม หนุ่มหน้าสาว 2 คน ก็เป็นสีสันของโลกเหมือนกัน... ผมคิดในใจ

"พี่....ใส่ชุดนี้แล้วเท่ห์จัง"  เสียงคุ้นหูกล่าวทักขณะที่ผมกำลังลองเสื้อผ้าอยู่
สายตาไวเท่าความคิด ใช่เธอแน่นอน หนุ่มหน้าสาวทั้งสองนั่นเอง...

เธอหยิบเสื้อหนังสีน้ำตาลยกขึ้น ...และถามผมอีกว่า
"พี่เคยใส่เสื้อหนังไหม นี่ต้องใส่กับกางเกงหนังด้วยจะยิ่งสวยใหญ่เลย"
ผมดูท่าจะไปกันใหญ่ จึงตอบเธอทั้งสองด้วยมิตรภาพ และความเคารพไปว่า "พี่ไม่ใส่หรอกครับ กางเกงพวกนั้น"

จริงๆ แล้ว ผมก็แปลกใจนะว่า ทำไมเราถึงต้องโคจรมาเจอกันอีก ทั้ง ที่ผมเดินจากร้านของเธอทั้งสองมาแล้ว
"ชอบมาซื้อเสื้อผ้าร้านนี้เหรอครับ?"  ผมลองถามเธอดู แม้ว่าคำตอบในใจจะไม่ใช่ก็ตาม

"ตามพี่มามั้ง" "สงสัยใจตรงกัน" อีกคนหนึ่งช่วยเสริม...อ้อ..คำตอบของเธอทำให้ผมชักไม่แน่ใจ ในโลกบูดเบี้ยวใบนี้ซะแล้ว...

"เสื้อผ้าร้านน้องจริงๆ ก็สวยอยู่แล้วนี่ครับ" ผมพูดเพื่อทำลายความเงียบไปอย่างนั้นเอง
"พรุ่งนี้ก็มาซื้อใหม่สิฮ้า....ถ้าไม่มาโกรธนะ" เธอพูดพร้อมลอยหน้าลอยตา ส่งยิ้มหวานมาอีกต่างหาก
ผมควรจะดีใจหรือควรจะรู้สึกอย่างไรกับหนุ่มหน้าสาว 2 คน นี้ดี......

ตามแผงหนังสือ ตามร้านเช่าวิดีโอ สังคมของชาวสีม่วงแพร่หลาย และมีอิทธิพลจริงๆ ผมอ่านข่าวการประชุมของคนเหล่านี้ที่จัดขึ้นในประเทศไทย พบความภาคภูมิใจของสาวหัวใจหนุ่มคนหนึ่งชาวอเมริกัน ที่ภูมิใจกับเม็ดเงินที่ลงไปประมาณ 3 ล้านบาท เพื่อจะเปลี่ยนเพศให้เป็นชาย คนเหล่านี้ทวีจำนวนมากขึ้นในสังคม ลองจับตัวเป็นๆ ของเขาและมองเข้าไปถึงหัวใจ แน่นอนว่าเขาเหล่านี้ก็เป็น "คน" เหมือนกับเรานี่แหละ

พระศาสนจักรมีท่าทีอย่างไรกับคนที่มีวิธีคิด และเจริญชีวิตแบบนี้ ผมนึกถึงเพื่อน คุณครู และนักเรียนที่อยู่ในโรงเรียน เราไม่กล้าปฏิเสธหรอกว่า คนเหล่านี้ไม่มีตัวตน ช่างเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหลือเกิน จนเราไม่ควรที่จะมองข้ามไป โดยไม่ตั้งข้อสังเกต และมีวิธีที่จะอยู่ร่วมโลกกันอย่างดี

ผมจำได้ว่าตอนที่ผมอยู่ในห้องเรียน มีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยพูดติดตลกว่า "พระเป็นเจ้าสร้างคนเหล่านี้เหมือนกัน แต่เป็นการสร้างอย่างลังเล" ผมไม่อยากให้เราผ่านเลยคำตอบเหล่านี้ไปง่ายๆ และมองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเลวร้ายในสังคม แน่นอนว่าเราย่อมไม่สนับสนุน เราคงไม่มองพวกเขาเป็นตัวตลก เรื่องบางเรื่องก็ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะสรุปได้เพียงหนึ่งหน้ากระดาษ

บางทีพระเป็นเจ้าก็ปล่อยให้เงื่อนงำเหล่านี้ถูกซ่อนไว้ในจังหวะก้าวเดินของชีวิต เพื่อให้เราได้ค้นและหากันต่อไป และผมก็ไม่ได้เขียนบทความตอนนี้เพื่อสนับสนุนหรือเชียร์คนเหล่านี้เป็นพิเศษนะครับ แค่คิดก็ อ๊ะ...จึ๋ย! พอสมควรแล้วล่ะ